อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดชื่อใหม่เอี่ยมจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมอนาคตของประเทศ ในที่นี้ขอหมายถึงกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนที่ได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งอย่างเห็นได้ชัดเจนเนื่องจากเครื่องจักรอุปกรณ์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นแผงเซลล์แสงอาทิตย์ กังหันลมผลิตไฟฟ้า เครื่องยนต์แก๊ส เครื่องกำเนิดไฟฟ้าชนิดต่างๆ ล้วนต้องนำเข้าทั้งสิ้น จึงเป็นเวลาที่กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องรีบลงทุน การผลิตของโครงการในขณะที่ราคาขายไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิงชีวภาพต่างๆ ยังคงจำหน่ายในประเทศได้ในราคาเดิมซึ่งหมายถึงกำไรอันอาจเพิ่มขึ้น สถานการณ์ปัจจุบันของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น จะขอเจาะลึกในแต่ละอุตสาหกรรมดังนี้
1.พลังงานเซลล์แสงอาทิตย์(Solar cell)
พลังงานทดแทนที่ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากอุ้งมือของเกมการเงิน แม้ในปัจจุบันก็ยังมีข่าวการขายใบอนุญาตกันอยู่ ผู้เขียนขอยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความบกพร่องของภาครัฐ ใครจะคาดการการณ์ได้ว่าราคาเซลล์แสงอาทิตย์ในตลาดโลกจะลดลงกว่า 50% ในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้โรงงานผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ของคนไทยต้องปิดตัวลงอย่างน่าเสียดาย ก็คงเหมือนค่าเงินบาทที่กูรูก็คาดไม่ถึงมาก่อน พลังงานเซล์แสงอาทิตย์มีผู้เสนอขายมากมายซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 60% เนื่องจากได้อัตรส่วนเพิ่มสูง(ปัจจุบันได้ลด Adder ลงแล้ว) และบริหารจัดการง่ายไม่ต้องวิ่งหาเชื้อเพลิง ปัจจุบันมีการติดตั้งและเริ่มจำหน่ายไฟฟ้า ไปแล้ว 25% หากดูตามแผนผังขอตั้งข้อสังเกตว่า พลังงานเซล์แสงอาทิตย์ในส่วนที่ยื่นข้อเสนอใหม่ 966 เมกะวัตน์ เป็นส่วนที่เกินจากแผน AEDP ซึ่งอาจไม่ได้รับการพิจารณาอรุมัติ
2. พลังงานลม (Wind Energy)
อีกหนึ่งพลังงานทดแทนที่ไม่จำเป็นต้องวิ่งหาเชื้อเพลิง(Feedstock) การทำธุรกิจนี้ต้องใช้เวลาในการตรวจวัดลมอย่างน้อย 1-2 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่เป้าหมายของโครงการมีกระแสลมเฉลี่ยที่แน่นอนทั้งปี เพียงพอหรือไม่เนื่องจากอัตรากระแสลมเฉลี่ยที่แน่นอนทั้งปีเพียงพอหรือไม่เนื่องจากอัตรากระแสลมเฉลี่ยเมืองไทยค่อนข้างต่ำ คือ ประมาณ 4-5 เมตรต่อวินาที
หากท่านดูจากแผนผังก็อาจดีใจว่าโครงการพลังงานลมมีการติดตั้งอุปกรณ์เรียบร้อย และพร้อมขายไฟให้การไฟฟ้ากว่า 200 เมกะวัตต์ เซ็นสัญญาแล้วอีก 200 กว่าเมกะวัตต์ และผ่านการอนุมัติเบื้องต้นอีก 800 กว่าเมกะวัตต์ในขณะที่เป้าหมายตามแผน 10 ปีตั้งไว้ 1,200 เมกะวัตต์
3.พลังงานน้ำ (Hydro-Power)
ตั้งเป้าหมายไว้ถึง 1,608 เมกะวัตต์แต่มีกำลังการผลิตติดตั้งพร้อมขายไฟฟ้าเพียง 29 เมกะวัตต์จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่า อัตราส่วนเพิ่มอยู่ในพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
4.พลังงานชีวมวล(Biomass)
พลังงานทดแทนผลิตกระแสไฟฟ้าหลักของเมืองไทย ตามแผน AEDP กำหนดเป้าหมายไว้ที่ 3,630 เมกะวัตต์สถานการณ์ปัจจุบัน ก็คือ พร้อมจ่ายไฟฟ้าแล้ว 1,818 เมกะวัตต์ และลงนามในสัญญาแล้วกว่า 1,400 เมกะวัตต์ ดูจากภาพรวมแล้วน่าจะสบายใจได้ แต่แท้ที่จริงแล้วยังมีปัญหาอีกมากมายสำหรับ Biomass
5.พลังงานชีวภาพ(Biogas)
ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนเดิม (15 ปี) กำหนดเป้าหมายไว้ 120 เมกะวัตต์จากความสามารถของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)พลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมเข้าร่วมโครงการ โดยมีงบประมาณสนับสนุนจนสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เกินเป้าหมายมาที่ 600 เมกะวัตต์ วึ่งเป้นเป้าหมายที่เป็นไปได้ไม่ยากนักสำหรับการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ หากรัฐมีการอุดหนุนงบประมาณหรือปรับ Adder ในอัตรที่เหมาะสม ข้อควรตระหนักยังคงเป็นเรื่องราวความมั่นคงของ Feedstock ในอนาคตอีก 10-15 ปี ว่ามาจากไหน มีต้นทุนสูงต่ำแค่ไหน รัฐจึงควรใช้ระบบ Adder มากกว่าระบบ FIT
6.พลังงานขยะ(Waste to Energy)
พลังงานทดแทนผลิตไฟฟ้าที่ท้าทายที่สุดในขณะนี้ คงไม่มีไครปฏิเสธว่า “พลังงานขยะ” คือธุรกิจที่ “High Risk, High Return” ท่านที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้มาก่อนหรือรับฟังจากผู้ที่ไม่เข้าใจในธุรกิจนี้ รับรอง 100% ว่าต้องร้อง “ยี้” และไม่ยอมรับฟังเหตุผลใดๆ ต่อไปอีก แต่ก็ยังมีกลุ่มธุรกิจที่สายตาเฉียบคมมุ่งเจาะธุรกิจนี้ และยังวางแผนจะเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตพลังงานจากขยะ ซึ่งได้ทั้งเงิน ได้ทั้งกล่อง ปัญหาหลักๆ ของพลังงานขยะ ก็คือ 1)เจ้าของขยะ 2)ชุมชน 3)เทคโนโลยี ซึ่งต้องแปลงขยะให้เป็นเชื้อเพลิง RDF ก่อนนำไปผลิตพลังงานมิฉะนั้นจะเสี่ยงกับสารก่อมะเร็งเช่นใดอ๊อกซิน เป็นอย่างมาก ดังนั้นโครงการพลังงานขยะขนาดเล็กและขนาดกลางจึงมักล้มเลวไม่สามารถคืนทุนได้ เนื่องจาก Adder ต่ำเกินไป ดังที่เห็นๆ อยู่หลายโครงการ นอกจากนี้สถาบันการเงินในประเทศเกือบทั้งหมดก้ปฏิเสธการสนับสนุนพลังงานขยะแบบไม่ถามเหตุผล
ก่อนจะเข้าสู่ถนนทางร่วมกันทั้งเศรษฐกิจสังคม และการเมืองของ AEC ในอีก 2 ปีกว่าๆ นี้ประเทศไทยได้มีโอกาสทำบททดสอบหลายวิชา เช่นวิกฤตพลังงานไฟฟ้าจากการซ่อมบำรุงท่อก๊าซธรรมชาติของเมียนม่าร์ ความจำเป็นในการปรับราคา LPG ให้เหมาะสมและป้องกันการนำไปจ่ายให้ประเทศเพื่อนบ้านในราคาที่รัฐอุดหนุน และปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ข้อสอบ 3 วิชานี้พวกเราคนไทยน่าจะสอบผ่านได้ไม่ยาก แต่คนไทยยังต้องสอบอีก 1 วิชา เพื่อก้าวไปข้างหน้าเป็นผู้นำอาเซียน นั่นก็คือ วิชาการเมืองในประเทศ เมื่อไหร่ต่างฝ่ายต่างเคารพกฎกติกา และไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวที่ถูกฝังในสมองไปแล้วมาพูดกันวิชานี้คนไทยสอบผ่านสบายมาก
แหล่งที่มา นิตยาสาร Energy saving
หน้าที่เข้าชม | 6,688,869 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 3,004,318 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 20 ต.ค. 2568 |