ปาล์มน้ำมัน เป็นพืชที่มีความสำคัญต่อประเทศ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ รวมถึงการช่วยสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร และด้านพลังงานของ ประเทศ ปัจจุบัน แม้ว่าไทยจะสามารถผลิตน้ำมันปาล์มได้เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศในด้านต่างๆ แต่จากโครงสร้างการผลิตที่ส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย ทำให้การผลิตน้ำมันปาล์มของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่าประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ อย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งนับว่าเป็นจุดอ่อนสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มไทย

ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่มีความต้องการน้ำ ต่อต้นต่อปีในปริมาณมาก ดังนั้นต้องย้ำเตือนเกษตรกรที่มีแนวคิดจะปลูกปาล์มน้ำมันว่า ควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจทั้งสภาพดินฟ้าอากาศ และลักษณะนิสัยของปาล์มน้ำมันให้ดี เพราะพืชชนิดนี้ชอบน้ำมาก แต่ถ้าขาดน้ำหรือได้น้ำไม่เพียงพอจะส่งผลให้ไม่ติดทลาย เป็นทะลายตัวผู้ทำให้ขาดทุนได้
เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน กรอปกับปัญหาด้านภัยแล้งกำลังส่งผลกระทบต่อเกษตรกรหลายๆสายงานอาชีพ โดยเฉพาะชาวสวนปาล์มน้ำมันในโซลอีสานที่มีปริมาณน้ำฝนรวมถึงแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรค่อนข้างน้อย
สำหรับเนื่องหาในฉบับนี้ผู้เขียนได้เปิดพื้นที่นำเสนอเรื่อง “กลยุทธ์การลงทุนระบบน้ำในสวนปาล์มน้ำมัน” ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์ด้านข้อมูลจากผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมานาน
สำหรับการลงทุนติดตั้งในสวนปาล์มน้ำมันนั้นต้นทุนประมาณไร่ละ 6,500-7,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ แหล่งน้ำ ขนาดพื้นที่ ซึ่งเป็นราคาที่รวมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นค่าแรง ค่าติดตั้ง ค่าออกแบบ ค่าอุปกรณ์ ทั้งนี้อยู่ที่สภาพพื้นที่ดังที่กล่าวไว้ด้วย เช่น หากเป็นเนินเขาราคาจะเพิ่มขึ้น เพราะต้องใช้อุปกรณ์ที่พิเศษขึ้น อาทิ ใช้ท่อที่หนาขึ้น กำลังปั๊มมากขึ้น ในกรณีที่หากสภาพแปลงเป็นสี่เหลี่ยมธรรมดาต้นทุนถูกลงเพราะปั๊มจ่ายน้ำได้ระยะสั้น แต่เฉลี่ยแล้วเต็มที่ประมาณ 7,000 บาท

“เรื่องการวางระบบน้ำเกษตรกรสามารทำได้และจุดคุ้มทุนเท่าที่เคยวิเคราะห์ ตัวอย่างง่ายๆสมมติว่าถ้าปาล์มขาดน้ำ 5 เดือน ช่วงที่ออกทะลายอาจจะได้ผลผลิตแค่ 50% แต่ถ้าเราเพิ่มความชื้นให้ ปาล์มน้ำมันจะออกมาได้ทุกทะลาย เราคิดง่ายๆปาล์มโตเต็มที่ เช่น อายุประมาณ 5-7 ปี น้ำหนักทะลายละ 20 กิโลกรัม เราเก็บผลผลิตคิดเป็นอย่างต่ำได้มา 5 ทะลาย/ต้น x 20 กก.(น้ำหนักต่อทะลาย) ได้ผลผลิต 100 กิโลกรัม/ต้น ราคาซื้อขายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.50 บาท ก็ได้มา 350 บาท/ต้น หนึ่งไร่ปลูกปาล์ม 22 ต้นคูณด้วย 350 (ราคาที่ได้ต่อต้น) ก็จะได้เงินจำนวน 7,700 บาท/ไร่ แล้วนำมาเทียบว่าเราได้ทุนคืนมาหรือยังแต่ผมว่าประมาณ 1.5-2 ปี เราก็คุ้มทุนแล้วปีต่อไปก็มีแต่กำไรแล้ว”
ผู้เชี่ยวชาญการระบบน้ำมีทั้งระบบน้ำหยด มินิสปริงเกลอร์ และ สปริงเกลอร์ ทั้งนี้ต้นทุนไม่ได้ต่างกันมาก หากแต่การจะเลือกวางระบบน้ำให้เหมาะกับสภาพพื้นมากกว่า อย่างเช่น ที่ที่มีน้ำน้อยๆจำเป็นต้องใช้น้ำหยด และการให้น้ำหยดจะทำให้ปาล์มน้ำมันจะได้รับน้ำเต็มที่ 90-95%
สำหรับในพื้นที่ที่มีน้ำมากๆอาจจะใช้สปริงเกลอร์ก็ได้เพราะระบบสปริงเกลอร์เมื่อปล่อยน้ำหัวสปริงเกลอร์จะเหวี่ยงน้ำกระจายไปทั่วใช้ปริมาณน้ำมาก แต่ปาล์มน้ำมันอาจจะได้น้ำประมาณ 75-80% และกว่าน้ำจะซึมลงดินน้ำอาจจะสูญเสียและระเหยไปก่อน แต่ถ้าแหล่งน้ำบางแหล่งอาจมีหินปูนมากก็ไม่เหมาะที่จะใช้ระบบน้ำหยด เป็นต้น ดังนั้นเมื่อคำนวณแล้วต้นทุนไม่ได้ต่างกันมากหากแต่จะพิจารณาสภาพของแหล่งน้ำ และปริมาณน้ำนั่นเอง
นอกจากนั้นยังได้มีการ “พัฒนาเทคโนโลยีการให้ธาตุอาหารหรือให้ปุ๋ยไปพร้อมกับระบบน้ำ” ที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่าระบบ Fertigationได้ด้วย โดยเฉพาะช่วงเนอสเซอรี่หากมีการใส่ปุ๋ยมากเกินไปแล้วให้น้ำไม่เพียงพออาจจะส่งผลให้ใบไหม้ได้ทันที
“อย่างตัวเลขของราชการบอกว่าการให้ปุ๋ยปาล์มน้ำมันคือใส่ 4 ครั้ง/ปี ต้นฝน 1ครั้ง ในฤดูฝน 2 ครั้ง และปลายฝนอีก 1 ครั้ง/ต่อต้น ปาล์มน้ำมันต้องการอาหารอยู่ตลอดเวลาสมมติใส่ปุ๋ยต้นละ 1กิโลกรัมถ้าเราใส่ 4 ครั้งเฉลี่ยจะประมาณ 250 กรัม/ครั้ง แต่เมื่อเรามีระบบน้ำเราให้ทุกครั้งต้นปาล์มก็จะได้กินตลอดเวลา การสูญเสียปุ๋ยก็จะไม่มี ประสิทธิภาพการได้รับธาตุอาหารก็จะสูงขึ้น ปาล์มโตสม่ำเสมอ การจัดการปุ๋ยพร้อมระบบน้ำการลงทุนติดตั้งระบบน้ำหยดในสวนปาล์มน้ำมันสามารถเพิ่มผลผลิตได้ประมาณ 20% คิดง่ายๆ ถ้ามีระบบน้ำจะไม่ทำให้ทะลายปาล์มฝ่อหรือ ขาดคอ จริงๆแล้วการให้ปุ๋ยทางน้ำได้ใช้การมานานแล้วสำหรับแปลงที่มีการวางระบบน้ำหยด”