การให้ปุ๋ยในระบบน้ำให้ประสบความสำเร็จ จะต้องประกอบด้วย
1. มีระบบการให้น้ำที่เหมาะสมมีการกระจายของน้ำในพื้นที่สม่ำเสมอ
2.ต้องมีวิธีการควบคุมการให้น้ำที่เหมาะสม ตามความต้องการของพืชไม่มากเกินไปจนเกิดการชะล้าง หรือ น้อยเกินไปจนพืชขาดน้ำ
3. มีความเข้าใจการใช้ปุ๋ย และสารเคมีที่ผสมลงในน้ำอย่างถูกต้อง โดยปุ๋ยที่ใช้ต้องละลายน้ำหมดและปุ๋ยเมื่อผสมกันต้องไม่ตกตะกอน
4. ต้องรู้สูตร หรือ สัดส่วนของปุ๋ยตลอดจนอัตราการใส่ทั้งธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และปริมาณที่ใช้ ช่วงเวลาที่ให้ที่เหมาะสมตามชนิดพืช และชนิดดิน
1. มีระบบการให้น้ำที่เหมาะสมมีการกระจายของน้ำในพื้นที่สม่ำเสมอ
เนื่องจากการให้ปุ๋ยในระบบน้ำจะให้ไปพร้อมกับน้ำชลประทานไปสู่พืชโดยตรง ดังนั้น ระบบการให้น้ำต้องมีความสม่ำเสมอ คือ พืชทุกต้นต้องได้รับปริมาณน้ำเท่ากัน หรือ ใกล้เคียงกัน เนื่องจากจะมีผลต่อปริมาณปุ๋ยที่พืชแต่ละต้นจะได้รับ ตัวอย่างเช่น ถ้าระบบน้ำไม่ดีพืชต้นแรก ๆ ของระบบน้ำได้น้ำมากกว่าต้นที่อยู่ท้ายระบบ ต้นแรกก็จะได้ทั้งน้ำและปุ๋ยมากกว่าต้นที่อยู่ปลายท่อทุกครั้งที่มีการให้น้ำ มีผลให้การเจริญเติบโตของพืชไม่สม่ำเสมอ ซึ่งจะมีผลถึงผลผลิตและการดูแลรักษาพืช นั่นคือ ต้องเลือกระบบให้น้ำที่มีประสิทธิภาพสูง การแพร่กระจายของน้ำสม่ำเสมอ ซึ่งได้แก่ระบบให้น้ำหยด และระบบให้น้ำฉีดฝอยใต้ทรงพุ่ม (Mini-sprinkle) ในประเทศไทยการให้น้ำหยดค่อนข้างจะมีปัญหามาก เนื่องจากเกษตรกรขาดความเข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพน้ำ การกรองน้ำ และการผสมปุ๋ยในน้ำทำให้หัวหยดอุดตันได้ ปัจจุบันระบบที่น่าจะเหมาะสมที่สุด ควรเป็นแบบฉีดฝอยใต้ทรงพุ่ม และควรเป็นระบบที่อัตราการไหลของน้ำแต่ละหัวไม่มากเกินไป (ไม่ควรสูงกว่า 100 ลิตร/ชม ที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 30-70 ลิตร/ชม.) เนื่องจากอัตราการไหลของหัวปล่อยน้ำยิ่งสูงระบบท่อและปั๊มที่ใช้จะต้องใหญ่ทำให้เสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าอัตราไหลต่ำๆมาก และการแพร่กระจายของน้ำจะไม่สม่ำเสมอทำให้การให้ปุ๋ยไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้เมื่ออัตราการไหลสูงมีโอกาสที่น้ำจะซึมลงในดินไม่ทัน ไหลบ่าออกนอกทรงพุ่มเป็นการสูญเสียน้ำ และปุ๋ย เนื่องจากไม่สามารถซึมลงสู่บริเวณรากพืชได้ทัน จากที่กล่าวมาแล้วความสม่ำเสมอของการแพร่กระจายน้ำมีผลต่อการให้ปุ๋ยในระบบน้ำอย่างมาก ดังนั้น ระบบให้น้ำต้องมีการออกแบบระบบที่ดี คือ ต้องมีการคำนวณขนาดของท่อที่ใช้ให้เหมาะสมกับความยาวและอัตราการไหลของน้ำ อัตราไหลและความดันของปั๊มที่เหมาะสม ฯลฯ ต้องมีการคำนวณตามขั้นตอนที่ถูกต้อง สามารถใช้โปรแกรมช่วยคำนวณการออกแบบระบบน้ำ TrickCal แต่ผู้ใช้ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการออกแบบระบบน้ำพอสมควรจึงสามารถใช้โปรแกรมได้ผล สามารถ download โปรแกรมได้จาก www.kmitl.ac.th/soilkmitl
2. ต้องมีวิธีการควบคุมการให้น้ำที่เหมาะสม
การให้ปุ๋ยในระบบน้ำให้มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีการจัดการการให้น้ำอย่างเหมาะสม กล่าวคือต้องทราบว่าเมื่อใดควรจะให้น้ำ คือ ให้เมื่อดินไม่เปียก หรือ แห้งเกินไป และให้เป็นปริมาณเท่าใดคือ ไม่มากจนเกิดการชะล้างสูญเสียปุ๋ย หรือ น้อยจนพืชขาดน้ำ ซึ่งการควบคุมการให้น้ำโดยทั่วไปจะมีอยู่ดังนี้
1. ใช้เครื่องวัดความชื้นในดิน คือ วัดปริมาณความชื้นที่มีอยู่ในดินจริง ๆ โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เมื่อค่าที่อ่านจากเครื่องมือแสดงว่าดินแห้งถึงค่าที่กำหนดไว้ค่าหนึ่งก็จะเริ่มให้น้ำจนค่าปริมาณความชื้นในดินที่อ่านได้จากเครื่องเพิ่มขึ้นถึงค่าที่ต้องการ ก็จะหยุดการให้น้ำเครื่องมือที่สามารถใช้วัดและควบคุมการให้น้ำ เช่น เครื่อง Tensiometer, เครื่องGypsum block, เครื่อง Time domain reflectometer (TDR) เครื่องมือที่มีราคาถูก และสามารถผลิตได้ในประเทศไทย ได้แก่ เครื่อง Tensiometer ราคาประมาณเครื่องละ 1,000 บาท เป็นเครื่องมือที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในต่างประเทศ ซึ่งสามารถบอกได้ทั้งปริมาณและความถี่ของการให้น้ำชลประทานได้อย่างถูกต้อง
2. วัดทางอ้อมจากสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการใช้น้ำของพืช อุปกรณ์วัดทางอ้อมที่มีการใช้กันมาก ได้แก่
2.1ถาดวัดการระเหยน้ำ (Class A Pan) เป็นถาดทรงกลมขนาดใหญ่ภายในบรรจุน้ำ จากหลักการที่ว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการระเหยของน้ำจากถาดวัดการระเหย ได้แก่ ลม, ความชื้นสัมพัทธ์, อุณหภูมิ, แสงแดด ก็เป็นปัจจัยเดียวกันที่มีผลต่อการคายน้ำของพืชด้วย ดังนั้น เมื่อน้ำระเหยออกจากถาดวัดการระเหยมากก็แสดงว่า พืชมีการคายน้ำมาก คือ ต้องการน้ำมากนั่นเอง จากความสัมพันธ์ดังกล่าว สามารถคำนวณความต้องการน้ำของพืชจากปริมาณน้ำที่ระเหยออกจากถาดวัดการระเหย ข้อดีของถาดวัดการระเหย คือ ราคาไม่แพงประมาณ 5,000 บาท สามารถซื้อได้ที่กรมอุตุนิยมวิทยา เป็นอุปกรณ์ที่คงทนไม่ต้องการดูแลมากนอกจากคอยเติมน้ำ และทำความสะอาด ชาวสวนควรมีติดตั้งไว้ในสวนเพื่อเป็นข้อมูลประเมินปริมาณน้ำที่ต้องให้แก่พืช นอกจากนี้ได้มีการย่อขนาดของถาดให้เล็กลงโดยอาจใช้หม้อ หรือ ถาดที่มีรูปทรงกระบอกทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ แต่จะต้องมีการทดลองหาความสัมพันธ์ของการระเหยน้ำจากธาตุกับการใช้น้ำของพืช
2.2 สถานีตรวจอากาศอัตโนมัติ เป็นชุดอุปกรณ์ที่มีราคาแพงที่สุด (ประมาณ 2-3 แสนบาท) จะประกอบด้วยเครื่องมือวัดค่าต่าง ๆ ได้แก่ ทิศทาง และความเร็วลม, ความชื้นสัมพัทธ์อากาศ, อุณหภูมิ, แสงแดด และข้อมูลเหล่านี้จะส่งเข้าเก็บในเครื่องบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ (Data logger) และข้อมูลเหล่านี้ก็จะใช้คำนวณเป็นปริมาณความต้องการน้ำของพืช เครื่องมือนี้เหมาะกับการทดลองในสวนที่มีขนาดใหญ่มาก เนื่องจากเครื่องสามารถเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องตลอดปี ทำให้ทราบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสวนได้ตลอดเวลา และยังสามารถใช้คาดการณ์การแพร่ระบาดของโรค และแมลงได้อีกด้วย
2.3.วัดจากตัวพืชโดยตรง แต่ยังไม่เป็นที่แพรหลายมากนักเนื่องจากเครื่องมือที่ใช้มีราคาแพงและขั้นตอนยุ่งยาก เช่น เครื่องวัดอัตราการเคลื่อนที่ของน้ำในต้นพืช, เครื่องวัดการเปลี่ยนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของพืชอย่างละเอียด, เครื่องวัดการเปิดปิดของปากใบ
3. มีความเข้าใจการใช้ปุ๋ย และสารเคมีที่ผสมลงในน้ำอย่างถูกต้อง
หน้าที่เข้าชม | 6,676,094 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 2,991,543 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 21 ก.ย. 2568 |