การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ของคนในเมืองอาจมีข้อจำกัดมากกว่าในชนบท เนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องสภาพพื้นที่ สภาวะแวดล้อม สภาพอากาศไม่เหมาะสม เพราะได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ หรือมีอากาศร้อน เป็นต้น แต่ข้อจำกัดเหล่านั้นสามารถทำได้ด้วยเทคโนโลยีการปลูกผักแบบใหม่ ที่เรียกว่า ระบบไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) หรือที่เรียกกันแบบง่ายๆ ว่า “ระบบการปลูกผักไร้ดิน”
การปลูกผักระบบไฮโดรโปนิกส์
การเพาะปลูกผักระบบไฮโดรโปนิกส์ หรือการปลูกผักไร้ดิน หรือที่เรียกกันติดปากว่า "ผักไฮโดร" คือระบบการปลูกพืชในน้ำที่มีสารละลายอาหารพืชอยู่ครบถ้วน ทำให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างปกติ พืชไม่มีความเครียดจากการขาดน้ำและธาตุอาหาร ข้อได้เปรียบของการปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์คือ
1. การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ควบคุมการใช้ธาตุอาหารของพืชได้ง่ายกว่าการปลูก
พืชในดิน
2. การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ช่วยลดค่าแรงงานในการเตรียมพื้นที่ปลูกได้มาก
3. การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ประหยัดน้ำกว่าการให้น้ำกับพืชที่ปลูกทางดิน
4. การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ควบคุมโรคในดินได้ง่ายกว่าการปลูกพืชในดิน
5. การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์สามารถปลูกพืชได้ในพื้นที่ที่ไม่สามารถปลูกพืชในดินได้ เช่น ดินไม่ดี หรือบนพื้นปูน
6. การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ได้ผลผลิตค่อนข้างสม่ำเสมอ
และมีคุณภาพดีกว่าการปลูกในดิน
7. การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการปลูกพืชในดิน
8. การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ประหยัดเมล็ดพันธุ์มากกว่าการปลูกแบบใช้ดิน
อย่างไรก็ตามการปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ในระบบนี้ก็มีข้อด้อยอยู่บ้าง คือต้องลงทุนสูงในเรื่องอุปกรณ์ต่างๆ ผู้ปลูกต้องมีความรู้ด้านการจัดการ และเทคโนโลยีที่ใช้ในระบบปลูกต้องมีระบบน้ำและระบบไฟฟ้าที่พร้อม ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่า มีข้อจำกัดของชนิดพืช ไม่สามารถปลูกพืชทุกชนิดที่สามารถปลูกในดินได้ นอกจากนี้ ยังมีการแพร่กระจายของเชื้อโรคทางน้ำในระบบได้เร็วและยากต่อการควบคุม หากอุณหภูมิของสารละลายเกิน 29 องศาเซลเซียส ปริมาณออกซิเจน ในสารละลายจะลดต่ำ อาจส่งผลเสียต่อการปลูกผักได้
รูปแบบการปลูกผักไร้ดิน
การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์สามารถแบ่งเป็น 3 ระบบ ที่สำคัญ ได้แก่
1. การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ระบบ ดีอาร์เอฟ (Dynamic Root Floating, DRF) เป็นระบบที่ให้รากพืชแช่อยู่ในน้ำส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งลอยอยู่ในอากาศ เพื่อช่วยในการหายใจ ทำให้พืชสามารถเจริญในสารละลาย
2. การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ระบบ เอ็นเอฟที (Nutrient Film Techique, NFT) เป็นการปลูกพืชในรางตื้นๆ ที่ติดตั้งให้มีความลาดเอียง 1-3% โดยให้สารละลายไหลผ่านรากพืชเป็นชั้นแผ่นผิวบางๆ โดยสารละลายจะไหลหมุนเวียนผ่านรากตลอดเวลา ความยาวของระบบ มีตั้งแต่ 1-20 เมตร แต่ไม่ควรเกิน 20 เมตร เนื่องจากจะทำให้เกิดความแตกต่างของปริมาณออกซิเจนระหว่างหัวระบบและท้ายระบบ
3. การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ระบบ ดีเอฟที (Deep Floating Technique, DFT) เป็นระบบการปลูกพืชในสารละลายลึก 15-20 เซนติเมตร ในกระบะที่ไม่มีความลาดเอียง ปลูกบนแผ่นโฟม หรือวัสดุลอยน้ำได้ เพื่อใช้เป็นที่ยึดลำต้นให้มีการหมุนเวียนสารละลายจากถังพักขึ้นมาใช้ใหม่โดยใช้ปั๊ม การหมุนเวียนในระบบนี้เป็นการเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่รากพืช ซึ่งในระบบนี้การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสารละลายจะมีน้อยกว่า ระบบ NFT
การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ในเชิงพาณิชย์
ปัจจุบัน คนไทยจำนวนมากกำลังเผชิญกับปัญหาโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคไต ความดัน ฯลฯ บางโรคอาจเกิดจากการรับประทานอาหาร บางโรคอาจเกิดจากสภาวะแวดล้อม บางโรคอาจเกิดจากหลายปัจจัยต่างๆ รวมกัน ซึ่งการบริโภค “ผักไฮโดรโปรนิคส์” เป็นวิธีการหนึ่งที่จะลดความเสี่ยงโรคภัยได้ เนื่องจากคุณสมบัติต่างๆ ของผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผักบางชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระ บางชนิดมีฤทธิ์เป็นยา บางชนิดช่วยในเรื่องการขับถ่าย ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงจากการรับประทานผัก
กระแสความนิยมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะผักสดปลอดสารพิษ ทำให้ผักเป็นสินค้าที่ขายดีมาก มีมูลค่าตลาดสูงถึง 80,000 ล้านบาท ซึ่งการปลูกพืชผักไฮโดรโปนิกส์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการปลูกผักปลอดสารพิษ ปลูกไม่ต้องเสียเวลารดน้ำ พรวนดินในแปลงผักให้เหนื่อย เพราะแปลงปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ได้ถูกติดตั้งอุปกรณ์ดูแลแปลงผักไฮโดรโปรนิคส์แบบอัตโนมัติ เช่น เมื่ออุณหภูมิ 30 องศา ปั๊มพ่นหมอกจะทำงานอัตโนมัติตามที่เราจั้งค่าไว้ ( สมมติเราตั้งค่าไว้ที่อุณหภูมิ 30 องศา ปั๊มพ่นหมอกจะทำงาน เพื่อลดอุณภูมิความร้อนในแปลงผักที่เรากำหนดใช่กำหนดอุณหภูมิไว้ที่ 26 องศส) หรือจะสั่งให้ปั๊มพ่นหมอกทำงานทุกๆ 1 ชั่วโมง ฉีดพ่นละอองน้ำในแปลงผักไฮโดรโปรนิคส์ เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนในแปลงผักไฮโดรโปรนิคส์ ซึ่งจะทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตผักไฮโดรโปรนิคส์ ได้อย่างรวดเร็วเร็ว และให้ผลผลิตสมํ่าเสมอ
เกษตรกรสามารถวางแผนการปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ กําหนดปริมาณสินค้าให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดได้ตลอดเวลา หากประสงค์จะลงทุนทำแปลงปลูกผักไร้ดิน สามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว หากผลิตเป็นผักสลัดกล่องนำมาขายปลีก
ารปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์ ต้นทุนส่วนใหญ่จะเป็นค่าอุปกรณ์ หากใช้อุปกรณ์ชุดนอกจากนี้ ยังมีต้นทุนวัสดุสิ้นเปลือง ประเภทฟองน้ำ ปุ๋ยน้ำ เป็นต้น ความจริงสามารถประยุกต์ใช้สิ่งของรอบตัวมาใช้งานเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ เช่น นำกล่องนมมาใช้เป็นวัสดุปลูกผักได้ ก็ช่วยประหยัดเงินแถมช่วยลดขยะเหลือใช้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ปุ๋ยน้ำที่ขายในท้องตลาดมีราคาสูง หากเป็นไปได้ควรรวมกลุ่มผู้ปลูกผักไร้ดินเพื่อซื้อปุ๋ยมาแบ่งใช้รวมกัน ก็จะมีต้นทุนการผลิตที่ถูกลง
จุดอ่อนที่ต้องระวังอีกประการหนึ่งของการปลูการปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์คือ การเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ผักจากร้านค้าที่มีคุณภาพเชื่อถือได้ เพราะเมล็ดพันธุ์ที่วางจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป อาจมีเปอร์เซ็นต์ความงอกต่ำ เพราะเป็นสินค้าเก่าค้าง
จัดสวนประดับด้วยผัก
การปลูกผักไฮโดรโปรนิคส์รับประทานเองนอกจากจะได้ประโยชน์จากการรับประทานผักปลอดสารพิษแล้ว ยังได้ความสุขทางใจอีกด้วยที่จะเห็นผักที่ตัวเองปลูก ค่อยๆ เจริญเติบโตงอกงาม จนสามารถนำไปบริโภคได้แล้ว เรายังสามารถนำผักมาจัดเป็นไม้ประดับ และสวนประดับได้อีกด้วย การจัดสวนประดับด้วยผัก สามารถปลูกผักจับใส่กระถางวางบนดิน ดัดแปลงเป็นไม้แขวน หรือจะนำพืชผักประเภทเลื้อย ทำซุ้มไว้นั่งรับลม ได้ทั้งความสวยงามที่กินได้ แถมมีสุขภาพดี สำหรับบ้านที่มีลูกหลานเล็กๆ สามารถใช้ผักกระถางเป็นกุศโลบายช่วยสอนให้เขารู้จักผัก ซึ่งหลายคนไม่เคยเห็นว่าผักชนิดนี้เกิดจากต้นที่มีหน้าตาอย่างไร เติบโตอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ และอยากกินผักมากขึ้น
รูปแบบการนำเอาผักสวนครัวมาจัดประดับบ้านนั้น ก็เหมือนสวนสวยงามทั่วๆ ไป คือควรคำนึงถึงเรื่องมุมมอง มีจังหวะการจัดวางที่ไล่ระดับสูง ต่ำ สีสันอาจจะดูไม่ฉูดฉาด แต่เราก็สามารถนำผักสวนครัวมาประดับรวมกับพืชประดับอื่นๆ ได้ โดยพืชสวนครัวที่เราเลือกมาใช้ อาจแทนค่าเป็นไม้ประดับได้ เช่น ขิง ข่า ก็ใช้แทนพวกเฮลิโคเนีย ผักชีฝรั่ง ก็อาจใช้แทนเฟิน หรือวอเตอร์เครต ก็อาจแทนไม้คลุมดินประเภทผักเป็ด หรือดาษตะกั่วได้ ควรแบ่งชนิดผักออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกเป็นผักที่มีอายุค่อนข้างนาน เมื่อเด็ดใช้แล้วสามารถงอกขึ้นมาใหม่ เช่น กะเพรา โหระพา ซึ่งในกลุ่มนี้ควรจะเพาะปลูกอยู่ด้านในชิดตัวอาคาร ส่วนอีกกลุ่มเป็นผักที่มีอายุสั้น เมื่อเด็ดแล้วจะหมดไป เช่น คะน้า ผักบุ้ง เป็นต้น ซึ่งในกลุ่มนี้ควรปลูกอยู่ด้านนอก เมื่อเด็ดใช้หมดแล้วก็สามารถรื้อแปลงปลูกใหม่ได้ง่าย
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจ ก่อนนะครับ ว่าโดยธรรมชาติของผักสลัด เป็นผักที่มียางค่อนข้างมาก นี่เป็นสาเหตุนึง ที่ ปัญหาเรื่องแมลง ค่อนข้างน้อยกว่าผักไทยหรือผักจีน โดยทั่วไป
สาเหตุของอาการผักขม โดยหลักๆ แล้วมีด้วยกัน 7 สาเหตุนะครับ
1) ผักสลัดขมเพราะแก่ โดยทั่วไปแล้ว ระยะเวลาการปลูกผักสลัด ไม่ควรเกิน 45 วันนะครับ โดยปกติ ทางไฮโดรอินโฮม จะแนะนำให้ เพาะต้นกล้าในถาดเพาะ 11 วัน และลงแปลง 30 วัน (รวม 41 วัน) โดยที่ ผู้ปลูกสามารถ ไม่ควรจะเก็บผักสลัดไว้จนมีอายุเกิน 45 วันนับจากเพาะเมล็ด นะครับเนื่องจาก เมื่อมีอายุมากขึ้น ธรรมชาติของผักสลัดเหล่านี้ ใบจะหนาขึ้น เคี้ยวแล้วไม่กรอบ รสขมมาก
2) ผักสลัดขมเพราะเก็บตอนแดดจัด อย่างที่เกริ่นไว้ตอนแรกนะครับ ธรรมชาติของผักสลัดจะมียางค่อนข้างมาก ในขณะที่แดดจัด ผักสลัดจะผลิตยางออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อปรับสมดุลให้กับ ตัวผักเอง เนื่องจากเสียน้ำมากจากสภาวะคลายน้ำ ดังนั้น ผู้ปลูกควรจะเก็บผัก ช่วงเช้าหรือเย็น
3) ปลูกผักในสภาวะอุณหภูมิสารละลายสูง อย่างที่บอกนะครับ ถ้าผักสลัดได้รับอุณหภูมิสูง จะผลิตยางออกมามากกว่าปกตินะครับ ทำให้ เกิดความขมได้ ซึ่งสาเหตุ ของสารละลายมีอุณหภูมิสูง ยกตัวอย่างเช่น
– แสงแดดส่องถังปุ๋ย ทำให้สารละลายร้อนจัด แก้ปัญหาโดยการบังถังปุ๋ยจากแสงแดดด้วยแผ่นโฟม หรือฉนวนกันแดด
– รางหรือท่อปลูก ระบายความร้อนไม่ดี มีความร้อนสูง อาจจะแก้ปัญหาด้วยการพ่นน้ำช่วย
– ใช้สแลนคลุมโรงเรือนทั้งด้านข้างและด้านบน ซึ่งจะทำให้อากาศอบอ้าวมาก นอกจากผักมีรสขมแล้ว ผักยังจะมีโอกาส รากเน่าตามมาด้วย
4) การชดเชยปุ๋ยไม่เหมาะสม แม้ว่า โรงเรือน หรือแปลงปลูก จะไม่มีการพ่นหมอก หรือพ่นน้ำเลย แต่ถ้า เข้าใจธรรมชาติของผักสลัดที่เราปลูก เราสามารถที่จะ ปลูกผักสลัดให้ไม่มีรสขมและออกหวานได้ โดยการชดเชยปุ๋ย ให้มีลักษณะจาก มากไปน้อย กล่าวคือ ระยะเวลาการลงแปลง 30 วัน ช่วง ครึ่งเดือนแรก รักษาระดับปุ๋ยให้อยู่ที่ระดับ 2.0-2.2 หลังจากผ่านครึ่งเดือนแรก ให้ปรับระดับปุ๋ยให้ลงมาอยู่ที่ 1.2-1.3 ซึ่งจะทำให้ผักสลัดมีรสชาติดีไม่ขม
5) การเลือกสถานที่การปลูก ก็เป็นสาเหตุนึงที่ทำให้ผักสลัดมีรสชาติดีได้ ปัจจุบัน เวลาไปติดตั้งแปลงปลูกให้ลูกค้า ทางไฮโดรอินโฮม จะซักถามลักษณะของแสงแดด บริเวณบ้าน รวมทั้งสภาพพื้นที่ต้องการวางแปลงปลูก เสมอ เพราะ ถ้าหากได้ บริเวณที่อากาศไม่อบอ้าว และได้แดดเช้าๆ สัก 3-4 ชั่วโมง ตรงๆ ผักสลัดจะสังเคราะห์แสงได้เต็มที่ และอุณหภูมิสารละลายก็จะต่ำด้วยครับ จะมีส่วนช่วยทำให้ผักสลัดมีรสชาติไม่ขม โตไว
6) การปรับ ความเป็นกรด-ด่างของน้ำ ก็เป็นอีกเรื่องนึง ที่ไม่ควรมองข้ามนะครับ เพราะถ้าเราทำให้ผักสลัด อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ผักสลัดก็จะมี สุขภาพที่ดีครับ รสชาติก็จะดี กรอบอร่อย ไม่ขม ค่า pH ของสารละลาย ควรจะรักษาอยู่ที่ 6.5 ตลอดช่วงการปลูกนะครับ โดยปกติ ค่า pH จะมีค่าสูง ประมาณ 8-9 (ด่าง) ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการดูดซับสารอาหารของผักสลัด โดยปกติ ถ้า pH ของสารละลายมีค่าสูง จะใช้น้ำยาปรับ pH ซึ่งเราเรียกว่า pH Down นะครับ
7) การปรับสภาพอากาศด้วยการพ่นหมอก ก็เป็นวิธีนึงที่ ช่วยเรื่องรสชาติของผักได้ครับ จะสังเกตุว่า ส่วนใหญ่แล้ว การแก้ปัญหา รสชาติ ของผักสลัด เราจะ มุ่งสู่การ ทำให้ผักสลัดมีสุขภาพที่ดีครับ อยุ่ในสภาพแวดล้อมที่ดี แล้วคุณภาพที่ดีของผักสลัดจะตามมาเองครับ
ฝากไว้นะครับสำหรับผู้ปลูก ผักสลัด ควรจะทานผักที่ตัวเองปลูกด้วยนะครับ จะได้ เป็นการ ตรวจสอบคุณภาพไปในตัว ถ้าผักล็อตไหน มีรสชาติไม่ดี ขม ก็อย่าไปขายครับเสียชื่อหมด ^^
หน้าที่เข้าชม | 6,674,193 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 2,989,642 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 17 ก.ย. 2568 |