ระบบน้ำหยด (Drip Irrigation) เป็นระบบให้น้ำแบบชลประทานที่ส่งน้ำผ่านท่อหลัก ท่อย่อย และหัวน้ำหยด เพื่อหยดน้ำลงไปที่รากของพืชโดยตรงอย่างสม่ำเสมอและแม่นยำ ต่างจากการรดน้ำด้วยสายยางหรือระบบพ่นฝอยที่มักทำให้น้ำกระจายไม่ทั่วถึง
ข้อดีหลักของระบบน้ำหยด คือการช่วย ประหยัดน้ำ, ประหยัดแรงงาน, ลดความเสี่ยงของโรคพืช, และเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร
ใช้น้ำน้อยกว่าการรดน้ำด้วยวิธีปกติ 30–60%
น้ำซึมตรงถึงรากพืช ลดการสูญเสียจากการระเหย
รดน้ำสม่ำเสมอ พืชเจริญเติบโตได้ดี
ลดความเครียดของพืชจากการขาดน้ำ
น้ำหยดตรงจุด ไม่กระจายไปพื้นที่ว่าง
ลดการงอกของวัชพืชรอบแปลง
ใส่ปุ๋ยผ่านระบบน้ำหยด (Fertigation)
พืชได้รับสารอาหารตรงรากอย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ต้องรดน้ำด้วยแรงงานคนบ่อย
ใช้ระบบอัตโนมัติควบคุมการให้น้ำได้
ทำหน้าที่ส่งแรงดันน้ำเข้าสู่ระบบ
ป้องกันตะกอนอุดตันหัวน้ำหยด
เป็นท่อหลักที่ลำเลียงน้ำจากปั๊ม
เชื่อมต่อไปยังแถวพืชแต่ละแถว
อุปกรณ์ที่ปล่อยน้ำลงสู่โคนต้นในปริมาณที่คงที่
เลือกหัวน้ำหยดตามชนิดพืช
พืชผลเล็ก → ใช้หัว 2–4 ลิตร/ชม.
ไม้ผลใหญ่ → ใช้หัว 8–12 ลิตร/ชม.
เลือกสายน้ำหยดคุณภาพดี
หนาทนทาน อายุใช้งานยาว
เลือกตามระยะห่างรูที่เหมาะกับพืช
เลือกปั๊มน้ำตามแรงดันที่ต้องการ
ฟาร์มเล็กใช้ปั๊มแรงดันต่ำ
ฟาร์มใหญ่ควรเลือกปั๊มแรงดันสูง
สาเหตุ: ตะกอนในน้ำ
วิธีแก้: ติดตั้งกรองน้ำ ล้างหัวเป็นประจำ
สาเหตุ: แรงดันไม่พอ หรือท่อยาวเกินไป
วิธีแก้: ใช้ตัวปรับแรงดัน แบ่งโซนให้น้ำ
สาเหตุ: แดดแรงจัด หรืออุปกรณ์คุณภาพต่ำ
วิธีแก้: เลือกสายน้ำหยดที่ทน UV และมีความหนามาตรฐาน
เหมาะกับพืชผัก ผลไม้ ไม้ยืนต้น และพืชไร่ที่ต้องการน้ำสม่ำเสมอ
หากใช้อุปกรณ์คุณภาพดี อยู่ได้ 3–5 ปี หรือนานกว่านั้น
สามารถใช้ปุ๋ยละลายน้ำ เพื่อใส่ผ่านระบบ (Fertigation) ได้
ทำได้หากมีทักษะเบื้องต้น แต่ควรเลือกอุปกรณ์ครบชุดจากร้านที่เชื่อถือได้
🌱 เพิ่มผลผลิตและประหยัดน้ำ ด้วย ระบบน้ำหยดคุณภาพสูง จาก MR. THAI WATER
📞 โทร: 090-992-6224 | 📩 LINE: @mrthaiwater
🚚 จัดส่งด่วนทั่วประเทศ พร้อมทีมงานให้คำปรึกษาฟรี
หน้าที่เข้าชม | 6,688,774 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 3,004,223 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 19 ต.ค. 2568 |