1.สปริงเกอร์สวนเกษตร เหมาะสำหรับพืชผัก ผลไม้ ที่ต้องการปริมาณน้ำ ปานกลาง

2.มินิสปริงเกอร์ เหมาะสำหรับสวนเกษตรสมัยใหม่ ที่ต้องการประหยัดน้ำ ให้ปริมาณน้ำน้อย ทำให้ประหยัดขนาดท่อ และขนาดปั๊ม มินิสปริงเกอร์ มี2 แบบ กระจายน้ำน้อย และกระจายน้ำมาก
•
แบบกระจายน้ำน้อย - ลักษณะการกระจายน้ำ จะมีทั้งแบบแคบ (หัวฉีดสำหรับต้นไม้ปลูกระยะประชิด พุ่มเล็ก) และแบบไกล (หัวฉีดแบบใบพัดเหวี่ยง สำหรับต้นไม้พุ่มใหญ่ คลุมพื้นที่บริเวณกว้าง) โดยส่วนมาก มินิสปริงเกอร์รดน้ำ แบบนี้เหมาะ สำหรับให้น้ำใต้ต้นพืช หรือ ในบริเวณพื้นที่ ที่ลมไม่แรงและต้องการประหยัดน้ำ
• แบบกระจายน้ำมาก - ลักษณะการให้น้ำ มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบพุ่งกระจาย หมุนเป็นเกลียวออก 2 ด้าน หรือแบบเป็นเม็ดฝอย ขนาดใหญ่รอบทิศทาง เหมาะสำหรับการให้น้ำ เหนือต้นพืช ซึ่งมินิสปริงเกอร์รดน้ำแบบนี้ นิยมใช้กันมากเนื่องจาก การให้น้ำที่รวดเร็วและลดปัญหาการอุดตัน

3.สปริงเกอร์ POP-UP เหมาะสำหรับ สนามหญ้า ที่มีพื้นที่ ค่อนข้างกว้าง มีความสวยงาม เมื่อติดตั้งเสร็จ ไม่เกะกะพื้นที่ มีความคงทน
4.สปริงเกอร์ IMPACT เหมาะสำหรับพืชไร่ ขนาดใหญ่ ที่มีพื้นที่มากๆ หัวมีรัศมีค่อนข้างไกล ทำให้ใช้หัวน้อยลง แต่จะต้องใช้กับท่อใหญ่
5.สปริงเกอร์ BIG GUN เหมาะสำหรับ สนามฟุตบอล จ่ายน้ำรัศมีกว้าง ใช้น้ำและแรงดันมาก เป็นระบบใหญ่ ที่ใช้งบมาก
6.หัวน้ำหยด เหมาะสำหรับพื้นที่ ที่ไม่ต้องอาศัยแรงดัน ประหยัดน้ำ แต่ใช้เวลาทำงานมากกว่า สปริงเกอร์รดน้ำ รูปแบบนี้ จะมีลักษณะการให้น้ำเป็นหยด ซึ่งมีอัตราการให้น้ำน้อย อยู่ที่ประมาณ 8 ลิตร/ชม. แรงดันน้ำประมาณ 1 บาร์ สปริงเกอร์แบบน้ำหยด เหมาะสำหรับพืช ที่ต้องการน้ำน้อย หรือ พื้นที่ขาดแคลนน้ำ รวมถึงพืชอายุสั้น (พืชไร่ พืชผัก ไม้กระถาง) แต่ไม่เหมาะกับการใช้งาน กับพืชยืนต้น เนื่องจากต้องใช้ปริมาณ หัวสปริงเกอร์รดน้ำ จำนวนมาก หลายจุดต่อต้น ทำให้เกิดความยุ่งยากในการต่อ


7.สปริงเกอร์หัวพ่นหมอก ใช้ปริมาณน้ำน้อย ให้ละอองละเอียด เหมือนหมอก มีลักษณะการให้น้ำเป็นฝอย ละอองขนาดเล็กมาก ฟุ้งกระจาย คลุมพื้นที่ประมาณ 2 เมตร. แรงดันไม่เกิน 4 บาร์ สปริงเกอร์รดน้ำชนิดนี้ ส่วนมากจะเหมาะสำหรับ ติดตั้งในระบบโรงเรือน เพื่อให้ความชื้นในพื้นที่ลมสงบ ใช้กับสวนกล้วยไม้ โรงเห็ดหรือ ใช้ลดอุณหภูมิของบ้านในหน้าร้อน ช่วยสร้างบรรยากาศในร้านอาหาร
